เผยความแตกต่าง “ยาปฏิชีวนะ (ไม่ใช่) ยาปฏิชีวนะ” ต้องกินให้ถูกวิธี!!!
อ่าน 7,978
แน่นอนว่ายาสองตัวนี้ต่างกัน และใช้รักษาอาการต่างๆ ที่ไม่ควรรับประทานในลักษณะที่ใช้สลับกัน เพราะคิดว่ารักษาอาการอักเสบได้ด้วย มันผิด XXX ถ้าคุณกินยาปฏิชีวนะมากเกินไป จะมีผลข้างเคียงจากการดื้อยาหรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ดังนั้นให้เราดูความแตกต่างระหว่างยาสองตัวนี้
ยาปฏิชีวนะ เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่มีฤทธิ์ต้านไวรัสและไม่มีผลต่อการลดการอักเสบ ยาแก้ปวด ลดไข้ ใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น เช่น เจ็บคอ ท้องเสีย ปัสสาวะแสบร้อน แผลอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบเป็นหนอง
ยาปฏิชีวนะหรือสารต้านการอักเสบ (Anti-inflammatories) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดไข้ บรรเทาอาการปวด ลดอาการบวม รอยแดง การอักเสบของกล้ามเนื้อ-เอ็นเนื่องจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
ลักษณะการอักเสบ
– การอักเสบมี 2 แบบ คือ 1. การอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 2. การอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
– การอักเสบส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่การอักเสบเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ภูมิแพ้ ไวรัสสเตรปโธรท โรคผิวหนังที่เกิดจากแสงแดดหรือสารเคมีทำให้กล้ามเนื้อเจ็บจากการยกของหนัก
อันตรายจากการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป
แพ้ยา: ถ้าแพ้เล็กน้อย อาจเป็นแค่ผื่น ในกรณีที่รุนแรง ผิวหนังจะไหม้ ลอก หรือตายได้
แบคทีเรียที่ดื้อยา: การให้ยาปฏิชีวนะเกินขนาดกระตุ้นให้แบคทีเรียกลายพันธุ์เป็นแบคทีเรียที่ดื้อยา พวกเขาต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะที่ใหม่กว่าและมีราคาแพงกว่า ซึ่งมีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น สุดท้ายจะไม่มีทางรักษา และตายในที่สุด
ภาวะแทรกซ้อน: ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรคและเป็นประโยชน์ในลำไส้ของเรา เมื่อแบคทีเรียดีตาย เชื้อโรคอื่นๆ ในตัวเราก็จะมีโอกาสเติบโต ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้อักเสบรุนแรง ผนังลำไส้ที่เสียหายจะลอกออกพร้อมกับอุจจาระ อันตรายถึงชีวิต
#เผยขอแตกตาง #ยาปฏชวนะ #ไมใช #ยาแกอกเสบ #ควรทานใหถกโรค