สัญญาณเตือน 9 โรคร้ายที่สังเกตได้จากอาการปวดท้อง!

อ่าน 1,827

อวัยวะภายใน เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี และตับอ่อน เป็นอวัยวะภายในที่สำคัญทั้งหมด นับตั้งแต่เวลาที่เรารับประทานอาหารรวมถึงการย่อยและการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทุกครั้งที่อวัยวะเหล่านี้ทำงานผิดปกติก็จะออกคำเตือนถึงอันตราย สังเกตได้ง่าย ๆ คือปวดท้องซึ่งเราไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะแม้ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นโรคร้ายแรงที่เราคาดไม่ถึงได้

ปวดท้องแบบไหนต้องระวัง?

สัญญาณเตือน 9 โรคอันตรายของอาการปวดท้อง

นพ.คมเดช ธนวชิรสิน ศัลยแพทย์ส่องกล้องและส่องกล้อง โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า:


โรคช่องท้องแต่ละชนิด อาการต่างๆ เช่น ปวดท้องจะคล้ายกันมากจนมักวินิจฉัยผิดได้ หรือผู้ป่วยเงียบคิดว่าเป็นเพียงโรคกระเพาะจนได้รับการวินิจฉัยช้าและก่อให้เกิดผลอันตราย ที่จริงแล้วอาการปวดท้องในแต่ละโรคไม่เหมือนกัน ต้องอาศัยการสังเกตและความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยโรค รวมทั้งการตรวจด้วยการเก็บตัวอย่างเลือดเพียงอย่างเดียวอาจไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ อัลตราซาวนด์ภายในช่องท้องเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการวินิจฉัย ให้การรักษาอย่างทันท่วงที โรคช่องท้องที่พบบ่อยที่สุดคือ:

1. โรคนิ่ว

โดยปกติถุงน้ำดีมีหน้าที่เก็บน้ำดี และเพิ่มความเข้มข้นของการย่อยอาหารที่มีไขมันได้ดีขึ้น นิ่วในถุงน้ำดีสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง หรือคนอ้วนมากและโรคเลือดต่างๆ ทำให้องค์ประกอบของน้ำดีหมดไปจนเกิดการตกตะกอนกลายเป็นนิ่ว อาการของโรคนิ่วจะมีตั้งแต่ สัญญาณเตือนแรกคือ ท้องอืด ท้องอืด และอาหารไม่ย่อยโดยเฉพาะ แต่จะไม่ปวดแสบปวดร้อนเหมือนโรคกระเพาะ สักพักคนไข้จะรู้สึกดีขึ้น จนบางครั้งเข้าใจผิดว่าแค่กินยาลดกรดและยาขับลมก็หมดไป

แต่ถ้าปล่อยไว้ในระยะของถุงน้ำดีอักเสบ อาการจะรุนแรงขึ้น เช่น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดมาก ขยับไม่ได้ หายใจลำบาก เพราะเมื่อหายใจเข้า กะบังลมจะดันจนไปกดถุงน้ำดีอักเสบ ปวดในซี่โครงด้านขวาหรือแผ่ไปทางด้านหลังและอาจทำให้เกิดหนองและติดเชื้อในเลือดหรือหากนิ่วตกและอุดตันท่อน้ำดี ผู้ป่วยจะมีไข้ หนาวสั่น ตัวเหลือง ตาเหลือง ติดเชื้อทางเดินน้ำดี ต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วนและซับซ้อนกว่า และหากนิ่วคงอยู่เป็นเวลานาน อาจไปกระตุ้นมะเร็งท่อน้ำดีหรือทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบได้

นอกจากนี้หากนิ่วมีขนาดใหญ่มาก ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งถุงน้ำดีด้วย ดังนั้นหากตรวจพบนิ่วในถุงน้ำดี ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ เพราะหินนั้นไม่น่าจะหายไปเองได้ ทั้งนี้ต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หรือหากมีอาการเบื้องต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อโรคโดยอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบนเพื่อทำการรักษาต่อไป

2. ไส้เลื่อนท้องไส้เลื่อนขาหนีบ

คือ ผนังกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือความดันภายในช่องท้องเพิ่มขึ้น ทำให้หย่อนคล้อยหรือฉีกขาด ส่งผลให้อวัยวะในช่องท้องออกมา ทำให้เกิดอาการปวดท้องโดยเราจะสังเกตเห็นว่าโปนอยู่ในท่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณสะดือ ขาหนีบ ผนังหน้าท้องที่ผ่าตัดไปแล้ว สาเหตุของไส้เลื่อนเกิดจาก

1) โรคอ้วน การมีน้ำหนักเกินจะทำให้ผนังหน้าท้องขยายออกจนผิวหนังบริเวณหน้าท้องตึงและบาง


2) เมื่ออายุมากขึ้น ผนังช่องท้องจะบางลงและอ่อนลง

3) ความดันภายในช่องท้องมากเกินไป เช่น ยกของหนัก ถ่ายปัสสาวะ หรือถ่ายอุจจาระ

ต่อมลูกหมากโต ท้องผูกหรือโรคบางอย่างที่ทำให้น้ำในช่องท้องเพิ่มขึ้น อาการของไส้เลื่อนคือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องเป็นก้อน รู้สึกแน่นใกล้มวล หากคุณสังเกตเห็นว่ามีมวลผิดปกติในช่องท้องหรือขาหนีบของคุณ คุณควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการเหล่านี้ หากเกิดจากไส้เลื่อน จะไม่สามารถหายเองได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแล อาจมีความเสี่ยงที่จะผ่าตัดรุนแรงขึ้นหรือลำบากขึ้น เช่น ลำไส้เน่าหรืออุดตัน เนื่องจากลำไส้ไม่สามารถใส่ได้พอดี คนไข้จะมีอาการ ปวดท้อง อาเจียน ปวดท้องน้อย ถ่ายอุจจาระไม่ได้

3. ไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบมีอาการอย่างไร? อวัยวะท่อ นี่คือส่วนที่ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากการอุดตันของเศษอาหาร ต่อมน้ำเหลืองจากการติดเชื้อในลำไส้ อาการของไส้ติ่งอักเสบคือ ตอนแรกดูเหมือนโรคกระเพาะ ต้องมีประวัติอย่างละเอียด ผู้ป่วยจะมีอาการเบื้องต้น เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือท้องน้อย ต่อมาผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการปวดมากขึ้นในช่องท้องส่วนล่างขวาหรือแผ่ไปทางด้านหลัง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของไส้ติ่ง หากความเจ็บปวดยังคงเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยมักจะเคลื่อนไหวไม่ได้ รู้สึกปวดมาก เริ่มมีไข้ ซึ่งอาการปวดไส้ติ่งอักเสบไม่หายไปเอง

หากไม่รักษา ไส้ติ่งอาจแตกได้ อาจเป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม คุณควรสังเกตตัวเองหากรู้สึกปวดท้องด้านขวาสักครู่หนึ่งแล้วอาการไม่หายไป และมีอาการปวดมากขึ้นควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

4. แผลในกระเพาะอาหาร / การอักเสบของลำไส้

แผลในกระเพาะอาหารสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย รวมทั้งเด็กเล็กด้วย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ในขณะที่ลำไส้เล็กพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุดคือผู้ที่มักใช้ยาทินเนอร์เลือด แอสไพริน และยาแก้อักเสบ อย่ากินตรงเวลา กินอาหารรสจัด ดื่มกาแฟเป็นประจำ รวมถึงความเครียดหรือการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบมักมีอาการปวดท้องก่อนและหลังรับประทานอาหาร แต่จะค่อยๆ หายไปหลังรับประทานอาหารไประยะหนึ่ง ความรู้สึกไม่สบายท้องส่วนบน เช่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย รู้สึกมีลมแรงในท้อง คลื่นไส้และอาเจียน

ในขณะที่โรคลำไส้อักเสบนั้นพบได้บ่อยในกลุ่มวัยทำงาน สังเกตอาการแรก คือ ปวดท้อง ผู้ป่วยจะรู้สึกแสบร้อนก่อนรับประทานอาหาร แต่ทานแล้วอาการจะดีขึ้น การวินิจฉัยทำได้โดยการส่องกล้องตรวจความผิดปกติในลำไส้ พฤติกรรมเป็นสิ่งสำคัญ กินตรงเวลา กินอาหารที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และลดความเครียด

5. กรดไหลย้อน

อาการของโรคกรดไหลย้อนที่สังเกตได้ครั้งแรก ได้แก่ การเรอและการเผาไหม้ในช่องท้องส่วนบน ถึงกลางหน้าอก บางคนอาจมีอาการไอ สะอึก เจ็บคอ ซึ่งอาจเกิดจากโรคกรดไหลย้อนได้เช่นกัน ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ โรคอ้วน การสูบบุหรี่มากเกินไป การบริโภคชา กาแฟ ช็อคโกแลต หรือผู้ที่เคี้ยวหมากฝรั่งบ่อยๆ เป็นประจำ เพราะเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยและกระตุ้นกรดในกระเพาะ หรือคนที่กินแล้วนอนทันที ดูแลตัวเองถ้าเป็นโรคกรดไหลย้อน อย่างแรกเลยคืองดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ลดการบริโภคช็อกโกแลต สเต็ก เปปเปอร์มินต์ หมากฝรั่ง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และต้องนอนยกศีรษะสูง (หมอนหนุนไหล่) หรือนอนตะแคงซ้าย อย่านอนลงทันทีหลังรับประทานอาหาร ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง. ซึ่งจะช่วยปรับปรุงอาการกรดไหลย้อน

การรักษาดังกล่าวไม่ดีขึ้น อาจมีไส้เลื่อนกล้ามเนื้อหูรูดกะบังลม ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมโดยการส่องกล้องตรวจ หรือการทดสอบกรดในหลอดอาหารและกระเพาะอาหารภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งอาจให้ยาเพิ่มเติมหรือจำเป็นต้องพิจารณาการผ่าตัดต่อไป

6. ตับอ่อนอักเสบ

คือการอักเสบของตับอ่อนทำให้เกิดอาการปวดท้องเฉียบพลันรุนแรง การทำงานของตับอ่อนคือการผลิตน้ำย่อยและฮอร์โมนบางชนิด สาเหตุส่วนใหญ่ของตับอ่อนอักเสบคือนิ่ว หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ ตับอ่อนอักเสบจะมีอาการปวดท้อง และคลื่นไส้อาเจียนมากโดยเฉพาะผู้ที่ดื่มหนัก จะมีอาการปวดท้องจนต้องก้มตัวเพื่อบรรเทาอาการปวด ซึ่งมักพบในเพศชายสามารถวินิจฉัยอาการอัลตราซาวนด์ได้

7. โรคตับอักเสบ


เป็นโรคอักเสบที่เกิดขึ้นในตับ สาเหตุอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสทั้งคู่ หรือสาเหตุอื่นๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์หรือผลข้างเคียงของยาและการติดเชื้อไวรัสตับ หากตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้ตับทำงานผิดปกติ ตับแข็ง หรือเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ อาการที่พบบ่อยที่สุดคือผู้ป่วยจะมีไข้และปวดท้องด้านขวาบนสีเหลือง การวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดอาจเผยให้เห็นการทำงานของตับผิดปกติ

8. อาการลำไส้ใหญ่บวมเป็นแผล

ผู้ป่วยมักมีอาการท้องผูกเรื้อรัง อาการมักจะปวดท้องล่างขวาหรือล่างซ้าย นอกจากนี้ เมื่อปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแล อาจมีการแตกหัก อุดตัน หรืออุจจาระเป็นเลือด การรักษาเริ่มต้นด้วยการใช้ยา จนถึงการผ่าตัด

9. โรคทางนรีเวช

ปวดท้องจากโรคทางนรีเวช อาการที่สังเกตได้คือ ปวดท้องตอนล่างตรงกลางหรืออาจข้างซ้ายและขวา อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคของมดลูก หรือปากมดลูกในสตรีหรือสังเกตประจำเดือนมาไม่ปกติ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติมาก สตรีควรได้รับการตรวจภายในหรืออัลตราซาวนด์เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติใดๆ

อาการปวดท้องในเก้าโรคที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการใช้แรงงาน เมื่อมีสัญญาณเตือนอย่าปล่อยไว้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย ให้การรักษาอย่างทันท่วงที ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

นพ. คมเดช ธนวชิรสิน ศัลยแพทย์ส่องกล้องและส่องกล้อง ที่ โรงพยาบาลกรุงเทพ

#สญญาณเตอน #โรคอนตราย #สงเกตไดจากอาการปวดทอง

0/5 (0 Reviews)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น