ขนาดยาที่เหมาะสมของพาราเซตามอล การวัดตามเกณฑ์ใดบ้าง?

อ่าน 2,469

ปวดหัว มีไข้ กินยาพาราเซตามอล เพราะเป็นยาที่ใช้ง่าย ไม่อันตราย (ถ้าทานติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน หรือทานมากเกินไป) ผลข้างเคียงน้อย และสามารถใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณกินมากแค่ไหน นี่เป็นปัญหาโลกแตก บางคนให้ยาเม็ดเดียว บางคนให้ 2 เม็ด วัดเกณฑ์อะไร ? เรานำข้อมูลจากมูลนิธิส่งเสริมสุขภาพแห่งประเทศไทยมาชี้แจงเรื่องต่างๆ


ปริมาณพาราเซตามอลจะปรับให้เข้ากับแต่ละคน

ปริมาณพาราเซตามอลที่เหมาะสมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องคำนึงถึงรูปร่าง น้ำหนัก และอายุของผู้รับประทานด้วย ปริมาณยาพาราเซตามอลในแต่ละครั้งคือ 10-15 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ซึ่งสามารถคำนวณได้ง่ายดังนี้

– ผู้ที่น้ำหนัก 34-50 กก. ทานพาราเซตามอลเพียง 1 เม็ด ไม่เกิน 5-6 ครั้งต่อวัน

– คนที่มีน้ำหนัก 50-75 กก. ให้ทานพาราเซตามอล 1 เม็ดครึ่ง ไม่เกินวันละ 4-5 ครั้ง

– ผู้ที่น้ำหนัก 75 กก. ขึ้นไป รับประทานพาราเซตามอล 2 เม็ด ไม่เกินวันละ 3-4 ครั้ง

ทุกคนสามารถรับประทานพาราเซตามอลได้ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีน้ำหนัก 50 กก. คุณสามารถทานหนึ่งเม็ดหรือหนึ่งเม็ดครึ่งก็ได้ สำหรับผู้ที่มีน้ำหนัก 75 กก. คุณสามารถทาน 1 เม็ดครึ่งหรือ 2 เม็ด


การรับประทานพาราเซตามอลมากเกินไปเป็นอันตราย แม้ว่ายาพาราเซตามอลจะเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อย แต่ถ้ากินมากเกินไปหรือกินนานเกินไป อาจส่งผลต่อการทำงานของตับที่ผิดปกติได้ พิษของตับทำให้ตับวายและในกรณีที่อาการรุนแรงอาจถึงตายได้เช่นกัน

นอกจากนี้ การรับประทานยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะหรือมีไข้ คุณสามารถหยุดรับประทานยาได้ทันทีที่ไม่แสดงอาการอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องกินต่อจนจบ หรือเกิดผื่นขึ้น ควรหยุดใช้ทันทีและไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

คำแนะนำนี้ใช้กับสูตรทั่วไปของพาราเซตามอล (500 มก.) หากเป็นสูตรเฉพาะของพาราเซตามอล ที่มีความเข้มข้นของยาสูงกว่าก่อนหรือยาแก้ปวดชนิดอื่น คุณอาจต้องปรึกษาเภสัชกรก่อนรับประทานยา

ปวดแบบไหนที่ไม่ใช้ “พาราเซตามอล”?

เจ็บแปลกๆ

กลุ่มอาการเจ็บปวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาการปวดทึบหรือปวดที่กดทับและเจ็บ ได้แก่ :

– ปวดเหมือนไฟฟ้าช็อต

– ปวดเมื่อยเป็นพักๆ

– ปวดแสบปวดร้อน

– ปวดเมื่อยชา

– ปวดแสบปวดร้อน

– ปวดเหมือนเข็มทิ่ม


ปวดหัวบ่อย

อาการปวดศีรษะที่ไม่สามารถอธิบายได้บ่อยที่สุดมักเกิดจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด มากถึง 15 วันขึ้นไปต่อเดือน หรือประมาณสองถึงสามเดือนติดต่อกัน วิธีสังเกตง่ายๆ เขาบอกว่าปวดหัวไมเกรนเดือนละ 3-4 ครั้ง หรือเครียดรัดคอ ปวดหัวถึงเดือนละ 15 วัน ปวดหัวแบบนี้ถึงแม้จะทานพาราเซตามอลก็ไม่ช่วยให้หายปวดได้ แถมยังจะทำให้ อาการปวดจะรุนแรงขึ้น ดังนั้นเมื่อคุณมีอาการต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และรับยาแก้ปวดที่เหมาะสมแทนยาพาราเซมอล นี้ควรจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เจ็บหนัก

อาการปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจหมายถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากอวัยวะภายใน ในทางการแพทย์ ระดับความเจ็บปวดคือ 0 ถึง 10 ระดับ 0 หมายถึงไม่มีความเจ็บปวด และระดับ 10 หมายถึงความเจ็บปวดให้มากที่สุด ปวดถึงขั้นระทมและไม่เสถียร หากแพทย์ประเมินว่าผู้ป่วยมีระดับตั้งแต่ 7 ขึ้นไป เช่น ปวดไต ปวดแผลผ่าตัด ปวดที่เกิดจากมะเร็งบางชนิด ปวดกล้ามเนื้อหัวใจจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ไมเกรนที่รุนแรง ความเจ็บปวดเหล่านี้ไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาพาราเซตามอล ต้องใช้ยาแก้ปวดทามาดอลและมอร์ฟีน ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ระงับอาการปวดอย่างรุนแรง แต่เป็นยาที่มีผลข้างเคียงมากมาย ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชเท่านั้น

ปวดท้องจากโรคกระเพาะและท้องร่วง

อาการปวดท้องเป็นอีกอาการปวดที่ทำให้ผู้ป่วยสับสนในการเลือกใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ปวดท้องเนื่องจากท้องเสีย อาการปวดท้องที่เกิดจากการบีบตัวของลำไส้ ปวดท้องเนื่องจากโรคกระเพาะ เจ็บหน้าอก หรือปวดท้องเนื่องจากกรดไหลย้อน ไม่สามารถใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดในกลุ่มนี้ได้ แท้จริงแล้วเป็นกลุ่มของความเจ็บปวดที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทและระบบลำไส้ที่มีความแปรปรวน หรือเกิดจากแก๊สในกระเพาะมาก ยาที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดประเภทนี้ได้คือยาลดกรด

#ปรมาณทเหมาะสมในการทานยาพาราเซตามอล #คอเทาไหรเอาเกณฑอะไรมาวด

0/5 (0 Reviews)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น